วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

คำสั่งCommand Promptที่เกี่ยวกับInternet

จะมีคำสั่งหลักๆที่สำหรับใช้ตรวจสอบระบบInternet สามารถใช้ได้ที่บ้านหรือในระดับองค์กร
ซึ่งจะต้องใช้ผ่าน Command Prompt หรือ เรียกสั้นๆว่า cmd จะมีวิธีเข้าคำสั่งได้ดังนี้
Windows 7
กดปุ่ม Windows+r จะปรากฎหน้าต่าง run ขึ้นมาให้พิมพ์ cmd ลงในช่องแล้วกดEnter
1
กดปุ่ม start พิมพ์คำว่า cmd ลงในช่อง search แล้วกดEnter
2

Windows8.1
– กดปุ่ม Windows+x จะปรากฎแถบขึ้นมาทางล่างซ้าย ใช้เมาส์คลิกเลือก Command Prompt หรือ Command Prompt (Admin)
3

เมื่อหน้าต่างCommand Promptขึ้นมาแล้วที่นี้ก็จะมาใส่คำสั่งสำหรับตรวจสอบ
1.คำสั่ง ping เป็นการทดสอบว่าเส้นทางสื่อสารจากเครื่องที่ใช้อยู่ไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นในเครือข่าย ว่ามีการใช้งานอยู่หรือไม่ หรือทดสอบเว็บไซด์ว่าสามารถเข้าได้หรือไม่ โดยการพิมพ์ชื่อเครื่อง หรือ IP Address หรือชื่อเว็บไซด์ที่ต้องการตรวจสอบ
แบบของคำสั่ง เช่น
ping www.google.co.th
ping 192.168.0.0
2รูปนี้เป้นการทดสอบว่าสามารถติดต่อสื่อสารได้
4

5
รูปนี้ไม่สามารถติดต่อสื่อสารหากันได้
6
2. คำสั่ง tracert จะคล้ายpingแต่จะสามารถแสดงเส้นทางว่าผ่านไปที่ใดบ้างตั้งแต่ต้นจนถึงปลายทาง เมื่อเกิดเหตุขัดข้องจะรู้ได้ว่า จุดที่ขัดข้องอยู่ตรงไหน กรณีที่ขึ้นเครื่องหมาย * แสดงว่าเส้นทางนั้นขาดหรือขัดข้อง เมื่อเสร็จสิ้นจะขึ้นคำว่า trace complete
แบบของคำสั่ง จะเป็นในรูปแบบชื่อเว็บหรือเลขไอพีก็ได้
tracert www.google.co.th
tracert 192.168.0.0
7
3.คำสั่ง ipconfig จะแสดงรายละเอียดของหมายเลขไอพีเครื่องที่ใช้งานอยู่ รายละเอียดการ์ดแลน
แบบของคำสั่ง ipconfig (ถ้ามี option เพิ่มก็จะมีรูปแบบนี้ ipconfig /xxx )
8
นอกจากนี้ยังมี option คำสั่งเพิ่มเติมที่นิยมใช้ร่วมกับคำสั่ง ipconfigได้แก่
/? แสดง help ของคำสั่งนี้
/all แสดงรายละเอียดทั้งหมด
/release ยกเลิกหมายเลข IP ปัจจุบัน
/renew ขอหมายเลข IP ใหม่ ในกรณีที่เน็ตเวิร์คมีปัญหา เราอาจจะลองตรวจสอบได้โดยการใช้คำสั่งนี้ ซึ่งหากคำสั่งนี้ทำงานได้สำเร็จ แสดงว่าปัญหาไม่ได้มาจากระบบเครือข่าย แต่อาจจะเกิดจากซอฟท์แวร์ของเรา
4. คำสั่ง netstat เป็นการตรวจสอบการเชื่อมต่อจากที่ต่างๆออกมาทั้งหมดไม่ว่าจะมา จาก protocol TCP, UDP, ICMP และอื่นๆ รวมไปถึงหมายเลข Port และ IP ของผู้ติดต่อมาที่เครื่องของเราด้วย
แบบของคำสั่ง netstat
9
ค่าที่แสดงออกมาในการตรวจสอบ มีความหมายดังนี้
  • Proto คือ Protocol ที่กำลังใช้งานอยู่จะมี TCP และ UDP เป็นหลัก
  • Local Address (ค่า IP หรือชื่อเครื่อง: port ที่ใช้งานอยู่) คือจะแสดง หมายเลข IP ของเรา (ในที่นี้เป็นชื่อเครื่อง) และ port ที่ืั้กำลังใช้งานอยู่
  • Foreign Address (ค่า IP หรือชื่อเครื่อง: Port ที่ใช้ติดต่ออยู่): อันนี้จะแสดงชื่อหรือ IP address
    ของเครื่องที่เรากำลังติดต่ออยู่ด้วย และหมายเลข Port ที่เราใช้เชื่อมต่อนั้นๆ
  • State คือ สถานะของการเชื่อมต่อของ netstat นั้นๆจะมีอยู่ด้วยกัน 4 สถานะหลักๆได้แก่
Established เป็นสถานะที่บอกว่าเครื่องนั้นๆได้เกิดการเชื่อมต่อกับ IP address ปลายทางด้วย port หมายเลขนั้นแล้ว ซึ่งสถานะนี้เป็นสถานะที่เกิดได้ทั่วไปเพราะการเชื่อมต่อใน internet นั้นเป็นเรื่องที่ธรรมดาอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ตามเราควรตรวจสอบให้ดีเพราะมีบาง port ที่ไม่จำเป็นก็ไม่ควรจะมีการเชื่อมต่ออยู่ เช่น port 23 ซึ่งเป็น port ของ telnet ซึ่งโดยทั่วไปแล้วนั้นไม่มีใครใช้กันสักเท่าไรและที่สำคัญอีกอย่างสำหรับสถานะ Established ก็คือควรตรวจสอบก่อนว่าเราไม่ได้ connect ไปหาIP address แปลกๆเข้าให้เพราะว่าบางที่นั้นอาจเป็นเพราะว่าในเครื่องของเราลักลอบติดต่อไปด้วยโปรแกรมอันตรายอย่าง Trojan อยู่ก็เป็นไปได้
Time_wait คือสถานะที่รอการเชื่อมต่อกลับมาอยู่หรือถ้าเราจะมองในแง่ร้ายสุดๆ ก็คือโดน scan port อยู่
Listening คือยังไม่มีเครื่องใดติดต่อมาหรือว่ากำลังรอการเชื่อมต่ออยู่นั้นเอง
Close_wait คือปิดการเชื่อมต่อปกติจะไม่พบมากสำหรับสถานะนี้และสถานะอื่นๆที่อาจพบได้แก่ SYN_SENT , FIN_WAIT เป็นต้น
5. คำสั่ง nslookup เป็นการตรวจสอบ ว่าหมายเลข IP Address อันนี้เป็นของเว็บไซต์อะไร หรือว่าสามารถใช้ในทางกลับกันว่า เว็บไซต์นี้มีหมายเลข IP Address อะไร
แบบของคำสัง
nslookup 64.233.181.106 (ตรวจสอบว่า IP Address นี้เป็นของเว็บไซต์อะไร)
nslookup www.google.com (ตรวจสอบว่าเว็บไซต์นี้มี IP Address อะไร)
10

จุดสังเกตุเสันทางที่ตรวจสอบนี้จะต้องวิ่งผ่าน Server ตลอด นั้นก็คือ ISP ที่เราใช้บริการอยู่ (ในที่นี่ได้แก่ rmutp.ac.th หรือ 202.29.104.1)

คำสั่ง IPConfig, Ping

คำสั่ง IPConfig, Ping

หมายเลข IP Address คือ?
IP Address คือหมายเลขประจำเครื่องที่ต้องกำหนดให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องและอุปกรณ์ทุกชิ้นในเครือข่ายเน็ตเวิร์ค โดยมีข้อแม้ว่าหมายเลข IP Address ที่จะกำหนดให้กับคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องหรืออุปกรณ์ต่างๆ จะต้องไม่ซ้ำซ้อนกัน ซึ่งเมื่อกำหนดหมายเลข IP Address ได้อย่างถูกต้องจะช่วยให้คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องและอุปกรณ์ต่างๆในเครือข่ายรู้จักกันรวมถึงสามารถรับส่งข้อมูลไปมาระหว่างกันได้อย่างถูกต้อง โดย IP Address จะเป็นตัวอ้างอิงชื่อที่อยู่ของคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง ตัวอย่างเช่น หากคอมพิวเตอร์ ต้องการส่งไฟล์ข้อมูลไปให้คอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ จะต้องรู้จักหรือมองเห็นคอมพิวเตอร์ เสียก่อน โดยการอ้างอิงหมายเลข IP Address ของคอมพิวเตอร์ ให้ถูกต้อง จากนั้นจึงอาศัยโปรโตคอลเป็นตัวรับส่งข้อมูลระหว่างทั้ง 2 เครื่อง
IP Address จะประกอบไปด้วยตัวเลขจำนวน 4 ชุด ระหว่างตัวเลขแต่ละชุดจะถูกคั่นด้วยจุด “.” เช่น 192.168.0.1 โดยคอมพิวเตอร์จะแปลงค่าตัวเลขทั้ง 4 ชุดให้กลายเป็นเลขฐาน 2 ก่อนจะนำค่าที่แปลงได้ไปเก็บลงเครื่องทุกครั้ง และนอกจากนี้หมายเลข IP Address ยังแบ่งออกเป็น 2 ส่วนดังนี้
1.ส่วนที่ใช้เป็นหมายเลขเครือข่าย (Network Address)
2.ส่วนที่ใช้เป็นหมายเลขเครื่อง (Host Address)
ซึ่งหมายเลขทั้ง 2 ส่วนนี้สามารถแบ่งออกตามลักษณะการใช้งานได้ 5 Class ด้วยกันได้แก่ Class A, B, C, D และสำหรับ Class D และ ทางหน่วยงาน InterNIC (Internet Network Information Center: หน่วยงานที่ได้รับการจัดตั้งจากรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการออกมาตรฐานและจัดสรรหมายเลข IP Address ให้กับคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายทั่วโลก) ได้มีการประกาศห้ามใช้งาน
Class A หมายเลข IP Address จะอยู่ในช่วง 0.0.0.0 ถึง 127.255.255.255 มีไว้สำหรับจัดสรรให้กับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อภายในเครือข่ายจำนวนมากๆ
Class B หมายเลข IP Address จะอยู่ในช่วง 128.0.0.0 ถึง 191.255.255.255 มีไว้สำหรับจัดสรรให้กับองค์กรขนาดกลาง ซึ่งสามารถเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายได้มากถึง 65,534 เครื่อง
Class C หมายเลข IP Address จะอยู่ในช่วง 192.0.0.0 ถึง 223.255.255.255 มีไว้สำหรับจัดสรรให้กับองค์กรขนาดเล็กและใช้กับคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ในเครือข่ายอินเตอร์เน็ตสามารถต่อเชื่อมกับคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายได้ 254 เครื่อง
Class D หมายเลข IP Address จะอยู่ในช่วง 224.0.0.0 ถึง 239.255.255.255 สำหรับหมายเลข IP Address ของ Class นี้มีไว้เพื่อใช้ในเครือข่ายแบบ Multicast เท่านั้น
Class E หมายเลข IP Address จะอยู่ในช่วง 240.0.0.0 ถึง 254.255.255.255 สำหรับหมายเลข IP Address ของ Class นี้จะเก็บสำรองไว้ใช้ในอนาคต ปัจจุบันจึงยังไม่ได้มีการนำมาใช้งาน
Public IP และ Private IP แตกต่างกัน?
บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเราจะได้รับการจัดสรร IP Address จากผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต (ISP: Internet Service Providers) ที่ใช้อยู่ ซึ่งเป็น IP Address ของจริงหรือที่เรียกว่า Public IP” แต่สำหรับการต่อเครือข่ายเพื่อใช้งานภายในบ้านหรือออฟฟิศต่างๆ เราจะใช้ IP Address ของปลอม หรือที่เรียกว่า Private IP” ซึ่ง Class ที่นิยมใช้กันก็คือ Class C ที่อยู่ในช่วง 192.168.0.0 ถึง 192.168.255.0 โดยผู้ใช้หรือผู้ดูแลระบบจะสามารถเป็นผู้กำหนดหมายเลข IP Address แบบ Private IP ด้วยตนเองได้
Public IP
 
 Private IP
IPConfig คำสั่งสำหรับเรียกดูหมายเลข IP Address ภายในเครื่อง
คำสั่ง IPConfig เป็นคำสั่งที่ใช้สำหรับเรียกดูหมายเลข IP Address ของเครื่องที่ท่านใช้งานอยู่ ซึ่งถ้าหากท่านไม่ทราบว่าหมายเลข IP Address ของเครื่องที่ท่านใช้งานอยู่นั้นเป็นหมายเลขอะไรหรือมีรายละเอียดอะไรที่เกี่ยวข้องกับหมายเลข IP Address บ้าง ก็สามารถใช้คำสั่งนี้เรียกดูผ่านหน้าต่าง Command Prompt ได้เลยครับ โดยเข้าไปที่
1.คลิกปุ่ม Start > Run > พิมพ์ cmd วรรค /วรรค ipconfig
 
 จะได้ผลลัพธ์ออกมาดังรูป
 
 2.ถ้าหากต้องการดูหมายเลข IP Address ซึ่งบอกรายละเอียดทั้งหมดก็สามารถดูได้โดยคลิกปุ่ม Start > Run >พิมพ์ cmd วรรค /วรรค ipconfig วรรค /all

จะได้ผลลัพธ์ออกมาดังรูป
 
และนอกจากนี้ยังมีตัวเลือกเพิ่มเติมที่นิยมใช้ร่วมกับคำสั่ง IPConfig ได้แก่
ipconfig [/? | /all | /renew [adapter] | /release [adapter] | /flushdns | /displaydns | /registerdns | /showclassid adapter | /setclassid adapter [classid] ]
Options:
/
? แสดง help ของคำสั่งนี้
/
all
 แสดงรายละเอียดทั้งหมด
/
release ยกเลิกหมายเลข IP
 ปัจจุบัน
/
renew ขอหมายเลข IP 
ใหม่ ในกรณีที่เน็ตเวิร์คมีปัญหา เราอาจจะลองตรวจสอบได้โดยการใช้คำสั่งนี้ ซึ่งหากคำสั่งนี้ทำงานได้สำเร็จ แสดงว่าปัญหาไม่ได้มาจากระบบเครือข่าย แต่อาจจะเกิดจากซอฟท์แวร์ของเรา
/
flushdns ขจัด DNS Resolver ออกจาก cache.

/
registerdns ทำการ Refreshes DHCP ทั้งหมด และ registers DNS names ใหม่
/
displaydns แสดง DNS Resolver ทั้งหมดที่มีในอยู่ Cache.

/
showclassid แสดง class IDs ทั้งหมดที่ DHCP ยอมให้กับการ์ดแลนใบนี้
/
setclassid แก้ไข dhcp class id.
การใช้คำสั่ง Ping ตรวจสอบการเชื่อมต่อเครือข่าย
คำสั่ง Ping เป็นคำสั่งที่ใช้ในการตรวจสอบการเชื่อมต่อกับเครือข่ายระหว่างคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องที่อยู่ในเครือข่าย โดยคำสั่ง Ping จะส่งข้อมูลที่เป็นแพ็คเกจ 4 ชุดๆละ 32 Byte ไปยังคอมพิวเตอร์ปลายทางที่ต้องการตรวจสอบ หากมีการตอบรับกลับมาจากคอมพิวเตอร์เป้าหมายก็แสดงว่าการเชื่อมต่อเครือข่ายยังเป็นปกติ แต่หากไม่มีการตอบรับกลับมาก็แสดงว่าคอมพิวเตอร์ปลายทางหรือเครือข่ายอยู่ในช่วงหนาแน่น ดังนั้นจะเห็นว่าคำสั่ง Ping มีประโยชน์อย่างมากในการตรวจสอบสถานะการเชื่อมต่อเครือข่ายเบื้องต้นได้เป็นอย่างดี
ขั้นตอนการเรียกใช้งานมีดังนี้
1.คลิกปุ่ม Start > Run > พิมพ์ cmd เพื่อเรียกใช้งาน Command Prompt ดังรูป
 
2.เมื่อปรากฏหน้าต่าง Command Prompt ให้พิมพ์คำสั่ง ping ตามด้วยหมายเลข IP Address ของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องการเข้าไปตรวจสอบลงไป จากนั้นกดปุ่ม Enter
 
 3.หากมีการตอบรับกลับมาจากคอมพิวเตอร์ปลายทาง จะปรากฏคำสั่งเหมือนในกรอบสีแดง แสดงว่าคอมพิวเตอร์ทั้ง 2 เครื่องสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ตามปกติ
 
4.แต่ถ้าปรากฏคำสั่ง Request timed out” นั่นแสดงว่าคอมพิวเตอร์ทั้ง 2 เกิดปัญหาขัดข้องไม่สามารถติดต่อสื่อสารถึงกันได้ ซึ่งจะต้องทำการตรวจสอบการเชื่อมต่อเครือข่ายรวมถึงการตั้งค่าต่างๆให้ถูกต้อง แล้วลองใช้คำสั่งPing ตรวจสอบอีกครั้งครับ
ตัวเลือกเพิ่มเติมที่นิยมใช้ร่วมกันกับคำสั่ง Ping
Usage: ping [-t] [-a] [-n count] [-l size] [-f] [-i TTL] [-v TOS] [-r count] [-s count] [[-j host-list] | [-k host-list] | [-w timeout] target_name
Options:
-
t Ping ไปยัง Host ตามที่ระบุเรื่อยๆ จนกว่าจะสั่งยกเลิกโดยกดแป้น Ctrl-C.และหากต้องการดูสถิติให้กดแป้นCtrl-Break
-
a เปลี่ยนหมายเลข IP Address ของ Host เป็นชื่อแบบตัวอักษร
-
n count Ping แบบระบุจำนวน echo
 ที่จะส่ง
-
l size กำหนดขนาด buffer

-
f ตั้งค่าไม่ให้แยก flag ใน packet.
-
i TTL Ping แบบกำหนด Time To Live โดยกำหนดค่าตั้งแต่ 1-255
-
v TOS กำหนดประเภทของบริการ (Type of service)

-
r count Ping แบบให้มีการบันทึกเส้นทางและนับจำนวนครั้งในการ hops จนกว่าจะถึงปลายทาง
-
s count Ping แบบนับเวลาในการ hop
 แต่ละครั้ง
-
j host-list Loose source route along host-list.

-
k host-list Strict source route along host-list.
-
w timeout Ping แบบกำหนดเวลารอคอยการตอบรับ

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

การใช้โปรแกรม SAM Broadcaster ในการ OnAir วิทยุออนไลน์

1. การใช้โปรแกรม SAM Broadcaster ในการ OnAir วิทยุออนไลน์

ต้องการเช่าพอร์ตวิทยุออนไลน์, Server Radio Streaming Port คลิกที่นี่


  1. ให้ท่านดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ SAM Broadcaster จากขั้นตอนที่แจ้งไปในอีเมล์ และดำเนินการติดตั้งตามขั้นตอนที่เขียนไว้ใน Readme.txt
  2. เมื่อการติดตั้งเสร็จสมบูรณ์ ให้เปิดเข้าไปยังโปรแกรม SAM Broadcaster จากนั้นคลิกเลือกเข้าสู่ Desktop B (เป็นเมนูอยู่ด้านบน-กลาง ของโปรแกรม)

  3. จะพบว่ามีหน้าต่างระบบต่างๆมากมาย ให้สังเกตหาหน้าต่างที่ชื่อ Encoders จากนั้นคลิกปุ่มเครื่องหมาย + ซึ่งอยู่ในแถบเมนูของหน้าต่าง Encoders นี้

  4. ให้ทำการเลือก ตัวเลือก mp3PRO

  5. ถัดมา จะเป็นการตั้งค่าสำหรับการ OnAir ในแถบเมนู Converter
    - Format ให้เลือกสัญญาณความคมชัดและความถี่ ที่ต้องการออกอากาศ เช่น 32 kb/s, 32.0 kHz, Stereo (ความคมชัดระดับต่ำ เหมาะสำหรับผู้รับฟัง ที่ใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วไม่สูงนัก), 64 kb/s, 44.1 kHz, Stereo (ความคมชัดระดับปานกลางและสูง เหมาะสำหรับผู้รับฟัง ที่ใช้อินเตอร์เน็ตวามเร็วสูง

  6. ถัดมา จะเป็นการตั้งค่าสำหรับการ OnAir ในแถบเมนู Server Detail
    - Server Type เลือก shoutCAST
    - Server IP ให้กรอก IP Address/Hostname ที่เราได้ส่งรายละเอียดไปให้ทางอีเมล์ เช่น radio1.siamlivehost.com หรือ radio2.siamlivehost.com เป็นต้น
    - Server Port ให้กรอกเลขพอร์ต ที่เราได้ส่งรายละเอียดไปให้ทางอีเมล์ เช่น 8003 เป็นต้น
    - Password ให้กรอกพาสเวิร์ดสำหรับการ OnAir ที่เราได้ส่งรายละเอียดไปให้ทางอีเมล์
    - Station name ให้กรอกชื่อสถานี ที่ต้องการออกอากาศ
    - Genre ให้เลือกแนวเพลง
    - Website URL ให้กรอก URL เว็บไซต์ของสถานี
    - AIM/ICQ/IRC Channel ไม่จำเป็นต้องกรอก
    - List on public station listing เลือก/ไม่เลือกก็ได้
    - Enable title streaming ควรเช็คเครื่องหมายถูกไว้
    เมื่อตั้งค่าต่างๆเรียบร้อยแล้ว ให้คลิกที่ปุ่ม OK

  7. เราจะพบว่ามี Encoder ของสถานีที่เรา Add ไว้เมื่อสักครู่ ในอยู่ในรายการของ Encoders แล้ว หากต้องการเริ่มต้น OnAir ให้คลิกขวาบนรายการ Encoder จากนั้นเลือกเมนู Start ได้เลย โดยระบบจะเชื่อมต่อมายัง Radio Server/Port ของเรา เมื่อสถานะขึ้นว่า Encoding แล้ว ให้ท่านกดกลับไปยัง Desktop A จากนั้น เริ่มเล่นเพลง/ถ่ายทอดเสียงผ่านไมค์โครโฟนได้ในทันทีครับ
คำแนะนำสำหรับ DJ/PJ ที่ต้องการ OnAir
ในระหว่างการ OnAir สัญญาณเสียงมายัง Radio Server/Port ของเรา DJ/PJ ควรใช้งานอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ตั้งแต่ 256/128 kbps เป็นต้นไป (แนะนำ 512/256 kbps) เพื่อคุณภาพในการ OnAir มิให้เกิดการกระตุกของสัญญาณเสียง ในระหว่างการส่งสัญญาณเสียงจากคอมพิวเตอร์ของ DJ/PJ มายังเซิฟเวอร์ของเรา และทั้งนี้ DJ/PJ ไม่ควรดำเนินการดาวน์โหลด/อัพโหลดไฟล์ บิททอเรนต์ หรือเปิดโหลดหน้าเว็บไซต์ใดๆ เพราะการดาวน์โหลด/อัพโหลดไฟล์ หรือการใช้งานบิททอเรนต์ จะดึงแบนวิดธ์อินเตอร์เน็ตของท่านไปจนหมด ก่อให้เกิดสัญญาณเสียงกระตุกในการรับฟัง เนื่องจากแบนวิดธ์จากฝั่ง DJ/PJ ไม่เพียงพอต่อการส่งสัญญาณเสียงมายังเซิฟเวอร์ของเรา